หนังสือพ่อแม่ จัดการอารมณ์พ่อแม่ = ดูแลอารมณ์ลูก
คำนำเสนอ จัดการอารมณ์พ่อแม่
หรืออีกชื่อหนึ่ง ทำอย่างไรไม่ให้ปรี๊ดแตก
“ถ้าทำได้คงทำไปแล้ว” เวลาเราอ่านหนังสือฮาวทูประเภทต่างๆเราเคยคิดอะไรแบบนี้จริงๆ
รวมทั้งฮาวทูเลี้ยงลูก คำแนะนำประเภท
ให้เวลาลูกมากๆ
ให้ความรักความอบอุ่น
เข้าใจลูกมากๆ
ไปจนถึงไม่ใช้อารมณ์กับลูก
หลายครั้งเป็นคำแนะนำที่ไม่อ่านก็รู้ก่อนแล้ว พออ่านแล้วก็รู้สึกได้ว่า “ถ้าทำได้คงทำไปแล้ว” จริงๆ พออ่านจบจะรู้สึกเสียเวลาเป็นอันมาก
หนังสือเล่มนี้ผู้เขียนหนังสือขึ้นต้นว่าตัวเองจะทำได้ดีกว่านั้น กล่าวคือจะเขียนเรื่องทำอย่างไรไม่ให้ปรี๊ดแตกที่ทำได้จริงๆ มิหนำซ้ำยังออกตัวด้วยว่ามิใช่ผู้เชี่ยวชาญ แค่มีประสบการณ์ตรงแต่ก็ค้นคว้าเพิ่มเติมด้วย
นี่คือประเด็นสำคัญ
หนังสือทำนองนี้ที่เขียนโดยนักวิชาการด้านจิตวิทยาเด็กหรือพัฒนาการเด็กโดยตรงมีเอกสารวิชาการอ้างอิงไว้ให้หลายรายการย่อมมีคุณประโยชน์ แต่โลกก็ดำเนินไปบนข้อเท็จจริงที่ว่าสิ่งแวดล้อมของแต่ละบ้าน นิสัยของคุณพ่อคุณแม่แต่ละท่าน รวมทั้งเด็กๆแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน วิชาการในตำราไม่สามารถใช้ได้กับคนทุกคน
นี่คือพื้นที่ที่คุณพ่อคุณแม่ที่มีประสบการณ์ตรง ในการรับมือ “ตัวเอง” ไม่ให้ปรี๊ดแตกย่อมสามารถสอดแทรก “วิชาการ” แบบของตนเองขึ้นมาได้
ถูกแล้ว นี่คือหนังสือสำหรับจัดการตัวเอง ไม่ใช่จัดการลูก
นอกเหนือจากหนังสือนี้จะเขียนวิชาการในแบบของตนเองแล้ว ที่สำคัญคือเถียงได้ด้วย
ดังเช่นคำนำเสนอนี้จะเถียงเนื้อหาในบทนำของหนังสือให้ดูเป็นตัวอย่าง
ตอนหนึ่งในหน้าคำนำเขียนว่า “การที่เรารับรู้ได้ว่าหัวเริ่มร้อน ลมหายใจเริ่มสั้นถี่และเร็วขึ้น หรืออารมณ์เริ่มพุ่งแล้วตอนที่ลูกเราไม่ยอมใส่รองเท้าเสียที นี่แหละคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้เราควบคุมตัวเองไม่ให้ปรี๊ดแตกได้ เพราะถ้าหากเราไม่สามารถเคยรู้ตัวเลยว่ากำลังจะปรี๊ดแตกแล้ว ก็จะไม่สามารถเลือกถอยหลังออกมาสักก้าว เพื่อพักให้ตัวเองใจเย็นลงได้”
แต่ผมเขียนเสมอว่าเมื่อเราปรี๊ดแตก เปรียบเสมือนระเบิดถูกปล่อยจากใต้ท้องเครื่องบินแล้ว ไม่มีอะไรหยุดยั้งระเบิดลูกนั้นได้อีก จะอย่างไรก็จะเกิดการทำลายล้างข้างล่างนั้นแน่นอน
ดังนั้นที่เราควรทำคือทำอย่างไรไม่ให้ปรี๊ดแตกตั้งแต่ก่อนมันจะเริ่ม แล้วผมก็จะสำทับตามไปว่าให้ออกกำลังกายทุกวัน เพราะการออกกำลังกายทุกวันจะเป็นเครื่องมือป้องกันการแกว่งของอารมณ์ได้ถ้าทำนานพอ
อย่างต่อเนื่องยาวนานและสม่ำเสมอ
หรือกินกาแฟดำให้ตัวเองมีแรงเอาไว้ก่อน เหตุเพราะเราจะระเบิดอารมณ์ง่ายมากถ้าเราเหนื่อยมาจากที่ทำงานหรือเหนื่อยจากอะไรก็ตาม ดังนั้นทำตัวให้ไม่เหนื่อยจึงเป็นเรื่องสำคัญ
หนังสือเล่มนี้จะลงรายละเอียดเพื่อช่วยให้ท่านหยุดอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่น ในขณะที่ผมเชื่อว่าเมื่ออารมณ์เริ่มคุกรุ่นแล้ว โดยเฉพาะกับลูกๆ หรือคู่สมรส ไม่มีอะไรหรือใครจะหยุดปฏิกิริยาลูกโซ่ที่เกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา
ผมเขียนจากประสบการณ์ตรงเช่นกัน ไม่ว่าจะในชีวิตจริงหรือจากเรื่องเล่าของผู้มารับคำปรึกษาจำนวนมาก ดังนั้นท่านที่อ่านย่อมโต้เถียงได้เสมอ นี่คือข้อดีของหนังสือประเภทฮาวทูที่ไม่อิงบนวิชาการมากจนเกินไป
แต่จะว่าไปผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เขียนในย่อหน้าต่อมาว่า “นาทีที่คุณพ่อคุณแม่รู้ตัวว่ากำลังจะเข้าสู่โหมดระเบิดลง คุณจะสามารถหยุดพักและเปลี่ยนไปโหมดอื่นๆก่อนได้”
จากนั้นคือวิธีการคร่าวๆก่อนจะลงรายละเอียดต่อไปในแต่ละบท ดังนั้นเราอาจจะเห็นตรงกันอยู่เพียงแต่มีความเหลื่อมของช่วงเวลาเท่านั้นเอง
คือช่วงเวลาก่อนที่นักบินจะกดปุ่มปล่อยระเบิดให้หลุดจากใต้ท้อง
อาการปรี๊ดแตกเป็น automatic และ reactive
ส่วนนี้เป็นส่วนวิชาการที่สำคัญซึ่งสาธารณชนมักไม่ทราบ
Automatic หมายความว่าอาการปรี๊ดแตกเป็นอาการที่จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเสมอ ไม่มีใครตั้งใจหรือเจตนาหรือวางแผนจะมาปรี๊ดแตกใส่ลูกตั้งแต่แรก เวลามันจะเกิดมันเกิดเองโดยไม่มีใครรวมทั้งตัวเองได้ทันตั้งตัว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันกำลังจะเกิดขึ้นในสามวินาทีข้างหน้า
Reactive หมายความว่าอาการปรี๊ดแตกมักเป็นผลลัพธ์ของสิ่งเร้าบางอย่าง เช่น ลูกไม่ยอมใส่รองเท้า เป็นต้น แม้ว่าเรื่องลูกไม่ใส่รองเท้าจะเป็นเรื่องที่มีนัยยะสำคัญมากน้อยเพียงใดก็ตาม แต่มันเป็นสิ่งเร้าชั้นดีสำหรับ “บ้านของเรา” และเฉพาะบ้านของเราเท่านั้น
เราคงไม่ตัดสินว่าคุณพ่อคุณแม่เอาจริงเอาจังมากเกินไปหรือเปล่ากับแค่เรื่องลูกใส่หรือไม่ใส่รองเท้า ที่เราควรใส่ใจมากกว่าคืออาการปรี๊ดแตกถูกกระตุ้นด้วยอะไรบางอย่างแน่ๆ
เราซึ่งเป็นพ่อแม่ควรขอโทษลูกหรือไม่?
นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งมีความเห็นแย้งในที่สาธารณะบ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราปรี๊ดแตกไปเรียบร้อยแล้ว
หลายครั้งที่เกิดการทำร้ายร่างกายลูกไปแล้วด้วยซ้ำ เช่นนี้แล้วคนเป็นพ่อแม่ควรขอโทษลูกหรือไม่ และถ้าควร ทำได้อย่างไร ไม่นับว่ายังจะมีอะไรอีกที่สำคัญกว่าการขอโทษ เป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่หาอ่านได้ในหนังสือเล่มนี้ และอย่าลืมว่าท่านโต้เถียงได้ด้วย
ไม่เคยมีใครไม่ปรี๊ดแตก จริงหรือ?
ถ้าจะมีอะไรสักเรื่องหนึ่งที่ผมเห็นด้วยเต็มร้อยกับผู้เขียนหนังสือเล่มนี้คือเรื่องนี้ และเห็นด้วยอีกว่าการปรี๊ดแตกใส่ลูกนานๆครั้งไม่ได้สร้างความเสียหายร้ายแรงถึงตายหรือแก้ไขไม่ได้ อีกทั้งมิใช่ข้อบ่งชี้ว่าเราเป็นพ่อแม่ที่แย่ เป็นความจริงที่ว่าเด็กๆนั้นทนทานมากและทนทานเหลือเชื่อ
เราพบเสมอว่าในเด็กที่ถูกพ่อแม่ทำร้ายก็ยังยืนยันที่จะอยู่กับพ่อแม่และไม่ยอมกล่าวร้ายพ่อแม่ พวกเขาต้องการเราและพวกเขายินดีอดทนอยู่กับเราเสมอ แต่ว่าถ้าเรารู้เช่นนี้แล้ว ยังจะไม่พยายามพัฒนาตัวเองบ้างล่ะหรือ
พวกเด็กๆทนอยู่กับเราได้เพราะเขาไว้ใจเราว่าเราจะเป็นพ่อแม่ที่ดีได้ แม้ว่าความไว้วางใจนั้นจะลดถอยลงเรื่อยๆตามความไม่คงเส้นคงวาของเรา
เช่นนี้แล้วเราจะไว้วางใจเด็กได้หรือไม่ว่าเขาจะใส่รองเท้าได้เองสักวันหนึ่ง
อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ให้ปรี๊ดแตกอีกคนละครั้งเดียวนะครับ
#preface